ควรเพิ่ม communication หริอ ระบบ chat ลงไปเพื่อผู้คนสามารถติดต่อสื่อสารกันได้ตลอดเวลา
2. ท่านคิดว่า “การวิเคราะห์และการสังเคราะห์ความรู้ ใน KM มีความแตกต่างกันอย่างไร”
การวิเคราะห์การแยกแยะทางความคิด เพื่อให้เห็น องค์ประกอบในการศึกษาแต่ละองค์ประกอบเพื่อให้เห็นความสัมพันธ์ ขององค์ประกอบต่างๆ ที่ทำให้เกิดสิ่งนั้น เรื่องนั้น- การสังเคราะห์เป็นกระบวนบูรณาการปัจจัยต่างๆตั้งแต่สองปัจจัยขึ้นไปซึ่งอาจเป็นได้ทั้งคน สัตว์ สิ่งของรวมทั้งเหตุการณ์และสิ่งที่อยู่ในรูปของแนวคิดเข้ามาเป็นองค์ประกอบร่วมกันเพื่อให้เกิดสิ่งใหม่
3. ท่านคิดว่า “นอกจาก เทคโนโลยี RSS ที่มาช่วยการสนับสนุนการจัดการความรู้แล้ว ในอนาคตควรจะมีอะไรเทคโนโลยีอะไรบ้างเพื่อทำให้การจัดการความรู้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากยิ่งขึ้น”
RSS (Really Simple Syndication) คือ เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ควบคู่กับภาษา XML
การทำงานของ RSS สนับสนุนให้ข้อมูลมีการปรับปรุงให้ทันสมัยตลอดเวลาโดยผู้ดูแลไม่จำเป็นต้องปรับปรุงด้วยตนเอง แต่ดำเนินการผ่านเอกสาร RSS ที่เรียกว่า Feed หรือ Web Feed หรือ Channel ทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลจากเว็บไซต์ต่างๆ และนำมาแสดงผลแบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์จึงไม่ต้องดำเนินการด้วยตนเอง จึงนิยมนำมาใช้กับเนื้อหาภายในเว็บไซต์ที่ต้องเปลี่ยนแปลงให้ทันสมัยตลอดเวลา
การทำงานของ RSS สนับสนุนให้ข้อมูลมีการปรับปรุงให้ทันสมัยตลอดเวลาโดยผู้ดูแลไม่จำเป็นต้องปรับปรุงด้วยตนเอง แต่ดำเนินการผ่านเอกสาร RSS ที่เรียกว่า Feed หรือ Web Feed หรือ Channel ทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลจากเว็บไซต์ต่างๆ และนำมาแสดงผลแบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์จึงไม่ต้องดำเนินการด้วยตนเอง จึงนิยมนำมาใช้กับเนื้อหาภายในเว็บไซต์ที่ต้องเปลี่ยนแปลงให้ทันสมัยตลอดเวลา
4. ท่านคิดว่า “การจัดการองค์กรแห่งการเรียนรู้ด้วย KM จะสิ่งใดที่จะทำให้เป็นปัญหาและอุปสรรคในการจัดการดังกล่าว”ปัจจัยแห่งความสำเร็จและสิ่งที่สะท้อนปัญหาอุปสรรค
1. วัฒนธรรมองค์กร จะเห็นว่าองค์กรแห่งการเรียนรู้ มีวัฒนธรรมองค์กรที่เน้นการพบปะพูดคุย แลกเปลี่ยนความคิดเห็น องค์กรหนึ่งๆ หรือบ้านหลังหนึ่ง หากการพูดคุย ติดต่อสื่อสาร การมีปฏิสัมพันธ์ของคนในบ้านยังไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ อยู่กันแบบห่างเหิน ไม่อยากเสวนาพูดจา พูดคุยกันเพียงไม่กี่คำ ความไว้วางใจกันอยู่ในระดับต่ำ มีความสัมพันธ์ที่ไม่ดี บรรยากาศเหล่านี้เป็นสัญญาณอันตรายที่บ่งบอกถึงสุขภาพขององค์กร แต่หากคนในองค์กรยอมรับที่จะปรับเปลี่ยนทัศนคติหรือมุมมองบางด้านที่เป็นอุปสรรคออกไป พูดคุยกันมากขึ้น ก็จะทำ ให้มีความเข้าใจกันในระดับลึก การพูดคุยกันจะมีความหมาย ไม่ใช่โครงสร้างองค์กรแบบต่างคนต่างอยู่ต่างคนต่างทำ
2. บุคลากร การเรียนรู้ที่มีประสิทธิผลจะต้องไม่เกิดบนพื้นฐานของการบังคับ ปัญหาอันเกิดจากตัวบุคลากร เช่น ผู้รู้ไม่อยากถ่ายทอดเพราะเกรงว่า เมื่อถ่ายทอดไปแล้วจะไม่เหลืออะไร ตนจะหมดความสำคัญหรือฝ่ายผู้เรียนรู้ไม่ยอมรับในตัวผู้ถ่ายทอด หรือคนในองค์กรขาดความกระตือรือร้น เนื่องจากโดยทั่วๆ ไปแล้วพบว่า คนเรามีแนวโน้มที่จะเฉื่อยชา หรือมีความกระตือรือร้นลดน้อยลงตามอายุที่สูงขึ้น บุคลากรบางคนไม่ชอบความเปลี่ยนแปลง อาจจะเป็นปัญหาสะสมที่พบได้บ่อยในหน่วยงานราชการ และต้องใช้เวลาในการปรับเปลี่ยนพอสมควร
3. ระบบความดีความชอบ อาจไม่ส่งเสริมให้เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้ เพราะหากคนในองค์กรมองว่าความรู้เป็นอาวุธส่วนตัวสำหรับใช้ในการต่อสู้แข่งขันกับเพื่อนร่วมงาน บางแห่งพนักงานใช้ความรู้ที่มีเป็นเครื่องต่อรองกับผู้บริหาร ด้วยเหตุนี้เพื่อสร้างเสริมแรงบันดาลใจ หรือแรงจูงใจ อาจจัดให้มีรางวัลที่เป็นนามธรรมแก่หน่วยงานที่มีลักษณะเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ เช่น การประกาศยกย่องชมเชย เป็นต้น
4. ด้านการเรียนรู้ ในส่วนที่เกี่ยวกับการยอมรับความผิดพลาด เนื่องจากสังคมวัฒนธรรมเรามองว่าความผิดพลาดเป็นเรื่องไม่ดี ต้องหลีกเลี่ยง หรือถ้าเกิดขึ้นแล้วก็ต้องปกปิดมิดชิดไม่มีการให้ความรู้ เราจึงได้เรียนรู้จากมุมมองด้านเดียว คือมุมมองด้านความสำเร็จ โดยไม่ได้เรียนรู้ว่าก่อนจะมีความสำเร็จต้องผ่านสิ่งใดมาบ้าง ไม่เคยเรียนรู้ว่าอะไรผิดควรหลีกเลี่ยง หรือมาวิเคราะห์กันว่าเราจะตอบสนองต่อปัญหาอย่างไร
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น